วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556


 มะนาวไม่รู้โห่ หรือต้นหนามแดงเป็นผลไม้ที่หลายๆคนมองข้าม เนื่องจากมีต้นเป็นหนาม หลายคนไม่รู้สรรพคุณก็ฟันทิ้งกันไปส่วนใหญ่ จึงทำให้ปัจจุบันค่อนข้างหามารับประทานได้ยาก นอกจากคนที่รู้เท่านั้นที่นำมาปลูกไว้ สำหรับคนโบราณแล้วผลไม้ชนิดนี้ถือว่ามีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเป็นมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพรซึ่งมีสรรพคุณที่หลากหลายในการช่วยซ่อมแซมร่างกายและช่วยรักษาโรคได้แทบทุกชนิด สำหรับวิธีกินก็นำมาล้างให้สะอาดแล้วรับประทานกันสดได้เลยครับ
มะม่วงหาวมะนาวโห่ สรรพคุณ นั้นนอกจากผลแล้วส่วนอื่นๆก็ยังมีประโยชน์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นราก , ใบ , ยอดอ่อน , เมล็ด , เนื้อไม้ , แก่น ก็ล้วนแต่มีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งยางก็ช่วยในการสมานแผลได้ เรียกได้ว่าแทบจะทุกส่วนจริงๆ แล้วเราจะไม่เรียกหนามแดงว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายได้ยังไง สำหรับผู้ที่รับประทานผลเข้าไปแล้วประมาณ 10 นาที แล้วรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคหัวใจโต ควรรับประทานวันละ 1 ผลเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพจนชินก่อน เมื่อไม่มีอาการแล้วค่อยเพิ่มปริมาณเป็น 10 ผล รับประทานประมาณ 3 เดือนจะทำให้เลือดลมไหลเวียนดี โดยหญิงชายกินได้โรคภัยหายสิ้น แต่สำหรับหญิงมีครรภ์ห้ามรับประทาน
 สรรพคุณมะม่วงหาวมะนาวโห่
  มะม่วงหาว มะนาวโห่ สรรพคุณ 2 สมุนไพรเด่น มีฤทธิ์รักษาโรค บำรุงร่างกาย
                    ผล : ฆ่าเชื้อ ขับปัสสาวะ พอกดับพิษ แก้โรคลักปิดลักเปิด

          เมล็ด : แก้กลากเกลื้อน แก้เนื้อหนังชาในโรคเรื้อน แก้โรคผิวหนัง แก้ตาปลา แก้เนื้องอก บำรุงไขข้อ บำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น บำรุงกำลัง บำรุงผิวหนัง

          เปลือก : แก้บิด ขับน้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสีย แก้กามโรค ทำยาอมรักษาแผลในปาก แก้ปวดฟัน พอกดับพิษ

          ยอดอ่อน : รักษาริดสีดวงทวาร

          ยาง : ทำลายตาปลา กัดทำลายเนื้อที่ด้านเป็นปุ่มโต แก้เลือดออกตามไรฟัน รักษาหูด รักษาขี้กลาก แผลเนื้องอก โรคเท้าช้าง

          น้ำมัน : ฆ่าเชื้อ ทาถูนวดให้ร้อนแดง ยาชา รักษาโรคเรื้อน กัดหูด แก้ตาปลา แก้บาดแผลเน่าเปื่อย
สรรพคุณทางยา มะนาวโห่ :

         
ราก : แก้คัน ทำให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุ ขับพยาธิ บำรุงกระเพาะอาหาร ดับพิษร้อน แก้ไข้

          แก่น : บำรุงไขมันในร่างกาย บำรุงธาตุ ทำให้ร่างกายแข็งแรง

          เนื้อไม้ : บำรุงไขมันในร่างกาย บำรุงธาตุ แก่อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง

          ใบ : แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ เจ็บในปาก แก้ปวดหู แก้ไข้

          ผล : รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ฝาดสมาน

รับประทานสมุนไพรปรับสมดุล
กรณีที่มีภาวะร้อนเกิน
ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือ ที่เรียกว่า น้ำคลอโรฟิลด์สดจากธรรมชาติ/น้ำเขียว/ น้ำย่านาง

วิธีทำ ใช้สมุนไพรฤทธฺ์เย็น เช่น 
-
ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ 
-
ใบเตย 1-3 ใบ 
-
บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ 
-
หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
-
ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
-
ผักบุ้ง ครึ่ง-1 กำมือ 
-
ใบเสลดพังพอน ครึ่ง-1 กำมือ 
-
หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ
-
ว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น 

จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้ละเอียดหรือ
ขยี้ผสมกับน้ำเปล่า 1-3 แก้ว (บางครั้งอาจผสมน้ำมะพร้าว น้ำตาล 
น้ำมะนาว น้ำมะขาม ในรสไม่จัดเกินไป เพื่อทำให้ดื่มได้ง่ายในบางคน) 
กรองผ่านกระชอน เอาน้ำที่ได้มาดื่ม ครั้งละประมาณ ครึ่ง-1 แก้ว 
วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือ ตอนท้องว่างหรือดื่มแทนน้ำตอนที่รู้สึก
กระหายน้ำปริมาณการดื่มและความเข้มข้นของสมุนไพร อาจมากหรือ
น้อยกว่านี้ก็ได้ ตามความต้องการของร่างกาย ณ เวลานั้น ๆ โดยดูความ 
พอดีได้จาก ความรู้สึกที่กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืนไม่พะอืดพะอมและความสบายตัว

กรณีที่ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดแล้วรู้สึกไม่สบาย 

ให้กดน้ำร้อนใส่น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือนำไปต้มให้เดือด ก่อนดื่ม หรืออาจนำสมุนไพรฤทธ์ร้อนมาผสมก่อนดื่มก็ได้ 
เช่น นำน้ำต้มขมิ้น/ขิง/ตะไคร้ มาผสม เป็นต้น หรืออาจดื่มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกสบาย


mata:
ใบย่านาง สมุนไพรลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ มะเร็ง,
ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน,ไมเกรน,ริดสีดวงทวาร,ปอดร้อนนอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ

วิธีทำน้ำย่านาง
ใช้ใบย่านาง 30-50 ใบ  ต่อน้ำ 4 ลิตรครึ่ง ผสม ใบเตย-10ใบ, 
หญ้าม้า10ใบ(ใบคล้ายใบอ้อย มีรสหวาน), ใบอ่อมแซบ(เบ็ญจรงค์)ประมาณ1หยิบมือ(10ยอด)
(หากมีแต่ใบย่านางกับใบเตย อย่างอื่นหาไม่ได้ 2อย่างก็ใช้ได้ครับ) ขยี้กับน้ำสะอาด 
หรือปั่นด้วยเครื่องมือหมุน หรือใช้เครื่องไฟฟ้าชนิดเกียว (ถ้าใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ที่ใช้ใบมีดปั่น ให้ใส่น้ำแข็ง5-7ก้อน
เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในขณะปั่น ความร้อนจะทำลายเอ็นไซท์)ใส่น้ำเกือบเต็มโถปั่น 
ปั่นประมาณ30วินาที หรือ45 วินาที  แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง  หรือตะแกงตาถี่  (ที่ร่อนแป้งด้ามพาสติก)
กากนำมาปั่นซ้ำ ได้อีก7-8ครั้ง หรือจนกว่าจะหมดเขียว
 กรองเอาแต่น้ำสีเขียว ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้4-5วัน
ถ้ารสชาดเปลี่ยนสรรพคุณจะเริ่มเสื่อมแล้ว ถ้าเสียแล้วจะเริ่มมีรสเปรี้ยว  
ถ้าต้องการให้หายเร็ว ดื่มวันละ1.5ลิตรขึ้นไป ผู้ป่วยเบาหวานน้ำตาลจะลดลง เหมือนคนปกติทั่วไป 
  คนที่เป็นเบาหวาน ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เหตุที่ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เพราะร่างกาย
เกิดภาวะร้อนเกินไป ระบบการทำงานของร่างกายจึงป้องกันตนเอง ไม่ให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน 
เพื่อไม่ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (หากร่างกายเผาผลาญน้ำตาลร่างกาย
จะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก)  น้ำตาลเมื่อไม่ถูกเผาผลาญก็อยู่ในกระแสเลือด 
แต่ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เซลล์จึงขาดน้ำตาล มีอาการอ่อนเพลียง่าย 
จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น ใบย่านางมีฤทธิ์เย็นมาก เมื่อร่างกายได้เย็นลงแล้ว 
ระบบการทำงานของร่างกายจะสั่งตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ 
และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน เซลล์เมื่อได้รับน้ำตาลและใช้น้ำตาลได้
อาการอ่อนเพลียจึงหายไป
--------------------------------------------------------------------------------------
    เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ด้วยตัวของผู้ที่เป็นเบาหวานเอง
ใบย่านาง ชนิดเดียวกัน ที่ชาวอีสานใส่แกงหน่อไม้ 
   คนปกติที่ไม่เป็นเบาหวานก็ดื่มได้ครับ  ช่วยป้องกันโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เช่น โรคอ้วน,
ความดัน,เบาหวาน,หัวใจ,มะเร็ง,ตับ,ไต,ภูมแพ้, นอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
----------------------------------------------------------------------------------------
   
จากประสบการณ์อาจารย์อาจารย์ของผมท่านหนึ่ง เป็นโรคเบาหวานมานาน30ปี 
ดื่ม1-2 สัปดาห์  และกินอาหารธรรมชาติแบบหมอเขียว น้ำตาลในเลือดวัดแล้ว
ไม่เกินร้อย .......เวลานี้หยุดกินยาอินซูลินแล้ว หันมาดื่มน้ำใบย่านางเขียวทุกวันครับ 
 
อาจารย์ของผมได้ความรู้นี้จาก  หมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) การแพทย์วิถีพุทธ  
 
ผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบยานางเขียว ก้อนมะเร็งจะฝ่อเล็กลง หรือจากก้อนมะเร็ง
กลายเป็นแค่ถุงน้ำ
**
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดื่มน้ำย่านาง 
 ผู้ที่เป็นมะเร็ง, เบาหวาน,โรคอ้วน,ไขมันในเลือดสูง  ห้ามกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน 
เช่น พริกไทย,กะเพรา,ขิง,ข่า,ใบมะกูด ฯลฯ และอาหาร รสจัด เช่นหวานจัด,เผ็ดจัด,

   ****มีพืชผักผลไม้อยู่  7  ชนิด  ที่มีผลโดยตรงกับสุขภาพของ ผู้หญิง ***
1)  ลูกพรุน : เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

2) ถั่ว :  อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยุ่มากด้วยจึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย นั่นทำให้ผู้หญิงรุปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย

3) บรอคโคลี : เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

4) กล้วย : ในกล้วยไข่ มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!

5) ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง คอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย

6) แอปเปิ้ล : มีสารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคตินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หินจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)

7) ส้ม : แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว

แก่นตะวัน
มีสารเส้นใย เรียกว่า  พรีไบโอติก  ช่วยล้างพิษลำไส้ใหญ่  คุมการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้เป็นปกติ ป้องกันไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง ลดความดันโลหิต กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมและธาตุเหล็ก ทำให้กระดูกแข็งแรง
เป็นพืชที่เป็นพรีไบโอติก(Prebiotics)  มีสารเส้นใยสูง ประกอบไปด้วย อินนูลิน(Inulin) และฟรุคโตโอลิโกแซคคาร์ไรด์(FOS)        
  มีประโยชน์ดังนี้
- ล้างพิษลำไส้ใหญ่และควบคุมการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้เป็นปกติ
- FOSทำให้เกิดกรดไขมันโครงสร้างสั้น ซึ่งให้ผลในการป้องกันการท้องผูก/ท้องเสีย ป้องกันมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และป้องกันกระดูกผุ
- มีบทบาทต่อภูมิต้านทานและป้องกันการติดเชื้อซัลโมเนลล่าและอีโคไล
- ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ซึ่งจะมีผลต่อระบบประสาท
- กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด,มีแคลเซียมและธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ทำให้กระดูกแข็งแรงและสามารถฟื้นคืนสภาพจากกระดูกที่ผุแล้วกลับคืนมา
- ช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
- ช่วยลดความดันโลหิต

วิธีรับประทาน : ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำ 150 มล. วันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเช้าและเย็น
ส่วนประกอบสำคัญ : น้ำสกัดแก่นตะวัน 55%   น้ำสกัดกระเจี๊ยบแดง 11%   น้ำสกัดกล้วยน้ำว้า 11%
ปริมาตรสุทธิ 750 มล.
ผลิตโดย ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน

แก่นตะวัน พันธุ์พืชต่างประเทศแต่เหมาะกับเมืองไทยปลูกง่าย เหมือนมันสำปะหลัง มีตลาดรองรับใช้ได้ทั้งบริโภคสกัดเป็นเอทานอลและเป็นแหล่งท่องเที่ยว รศ.ดร.สนั่น จอกลอย หัวหน้าทีมงานวิจัยของคณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้นำสายพันธุ์แก่นตะวัน มาปลูกทดลองในประเทศไทย กล่าวว่า แก่นตะวันหรือ Jerusalem artichoke มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Helianthus tuberosus เป็นพืชที่ใกล้ชิดกับทานตะวัน มีดอกคล้ายทานตะวันและบัวตอง แต่มีขนาดเล็กกว่า มีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่ง เพื่อเก็บสะสมอาหาร ซึ่งเป็นน้ำตาล Inulin ประกอบด้วยน้ำตาล fructose ต่อกันเป็นโมเลกุลยาว .shape { BEHAVIOR: url(#default#VML) }

 แก่นตะวัน.....มีถิ่นกำเนิดในเขตหนาว ของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สามารถปลูก และปรับตัวได้ดี ในสภาพเพาะปลูกของประเทศไทย การใช้ประโยชน์โดยใช้หัวเป็นอาหารคน และอาหารสัตว์ รวมทั้งการใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแอลกอฮอล์ จากรายงานการวิจัยของต่างประเทศ พบว่า การบริโภค แก่นตะวันจะไม่ถูกย่อยในกระเพาะ เป็นสารเยื่อใยอาหารที่ให้แคลลอรี่ต่ำ ช่วยลดความอ้วน ไม่เพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือด จึงไม่เป็นปัญหากับผู้เป็นโรคเบาหวานช่วยลด Cholesterol Triglyceride และ LDL ในร่ายกายจึงลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าเป็นประโยชน์ต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเช่น Bifidobacteria และ Lactobacilli แต่ลดกิจกรรมของแบคทีเรีย ก่อโรค เช่น Coliforms และ E. Coli จึงเป็นที่ยอมรับกันว่าแก่นตะวันเป็น Prebiotic ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายดีขึ้น.shape { BEHAVIOR: url(#default#VML) }

แก่นตะวัน คลื่นลูกใหม่ของอาหารเพื่อสุขภาพ
เชื่อว่าหลาย คนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่หรืออยากลดน้ำหนักคงจะแสวงหาวิธีการดูแลตัวเองไม่ให้มีปัญหาในเรื่องของความอ้วน ทั้งดูแลเรื่องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการควบคุมอาหาร และเมนูอาหารที่ผมเห็นว่าเหมาะแก่คนลดความอ้วนเอามาก เลยคือ เมนูอาหารที่ทำจากแก่นตะวัน เมนูที่ทำจาก แก่นตะวันมีมากมากหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ยำแก่นตะวันกุ้งสด ไข่ตุ๋นแก่นตะวัน แกงเผ็ดแก่นตะวัน สลัดแก่นตะวัน ผัดแก่นตะวัน หรือแม้แต่จะนำมากินเปล่าๆ เป็นของขบเคี้ยวก็ยังได้ ที่สำคัญคือ กินแล้วไม่อ้วนอีกต่างหาก
มีรายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มที่ออกมายืนยันในเรื่องนี้ รายงานในปี 2005 ว่า คนที่กิน อินนูลิน เป็นประจำ ในลำไส้ใหญ่จะมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพน้อยลง นอกจากนี้สารเส้นใยที่มีมากในแก่นตะวันก็ยังมีส่วนช่วยในการดูดซับไขมันในทางเดินอาหารไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าไปในระบบเลือดของเรา จึงมีรายงานของคอเซ อีกเช่นกันที่รายงานในปี 2000 ว่า คนที่มีระดับคอเลสเตอรอล และไตรกรีเซอไรด์สูง หากบริโภคอินนูลินเป็นประจำ จะทำให้ระดับของไขมันในเลือดลดลงได้ ในอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์หลายชนิด ก็ค้นพบอีกว่า ถ้าให้สัตว์เลี้ยงอย่างเช่น สุกรในฟาร์ม ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอุจจาระมีกลิ่นเหม็นรุนแรงกินอาหารที่ผสมอินนูลินไปได้ สักพักจะพบว่า กลิ่นอุจจาระเหล่านั้นจะเบาบางลง ในคนที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นอุจจาระหรือผายลมรุนแรง ได้กินอินนูลินเป็นประจำพบว่า สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้เป็นที่น่าพอใจ  
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน แต่ยังติดที่จะกินแป้งและน้ำตาล ข่าวดีก็คือ ในปี 1983 รายงานผลงานวิจัยออกมาว่า คนที่กินอินนูลินเป็นประจำ จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลสูงถึง 40% จึงอาจนับได้ว่า อินนูลินในแก่นตะวันมีบทบาทในการป้องกันเบาหวานได้ด้วย

ในขณะนี้ ได้มีหลายองค์กรที่นำเอาแก่นตะวันมาปลูกในประเทศไทย จึงทำให้แก่นตะวันหาได้ง่ายขึ้นมาก ส่วนใหญ่ที่นำมาขายจะปอกเปลือกมาให้เสร็จ หน้าตาของมันจะคล้ายๆ แง่งขิง กัดชิมดูจะมีรสหวานนิดๆ กรอบๆ มันๆ คล้ายแห้ว หากทำให้สุกจะหวานมากขึ้นและหอมน่ากิน
ประโยชน์ของ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ( Virgin Coconut Oil )

ด้านสุขภาพ
1. การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ช่วยให้ร่างกายย่อยและดูดซึมวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโนได้เร็วและง่ายกว่าน้ำมันชนิดอื่น  นิยมใช้ในการหุงต้มอาหารให้คนไข้ที่มีปัญหาการย่อยไขมัน และยังใช้ผสมในน้ำนม เพื่อให้ไขมันที่จำเป็นแก่เด็กทารก และช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนากระดูก
2. ลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดเชื้อ 
2.1 โรคหัวใจ : น้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าน้ำมันอื่นๆ ปราศจาก trans fatty acids ซึ่งเป็นตัว ทำให้เกิดลิ่มเลือด ที่ไปอุดตันหลอด
เลือด และยังมีวิตามินอีที่ช่วยขยายหลอดเลือดและป้องกันการแข็งตัวของเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ นักโภชนาการสมัยใหม่จึงสรุปว่า น้ำมันมะพร้าวช่วยทำให้หัวใจมีสุขภาพดี เพราะเป็นหนึ่งในสองชนิดของน้ำมันบริโภค ซึ่งช่วยลดความหนืด (stickiness) ของเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ 
2.2 โรคมะเร็ง : เนื่องจากน้ำมันมะพร้าว
(1) เป็นน้ำมันชนิดอิ่มตัวจึงไม่ถูกเติมไฮโดรเจน (hydrogenate) และแตกตัวเมื่อถูกกับอุณหภูมิสูง 
(2) มีวิตามินอีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของยีนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดเซลล์มะเร็ง รวมถึงมะเร็งที่ผิวหนังด้วย มีสรรพคุณดีกว่ายาทากันแดดราคาแพง
2.3 โรคอ้วน : การบริโภคน้ำมันมะพร้าวจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง (ในขบวนการ thermogenesis) ทำให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญอาหาร หรือเมตาบอลิซึม (metabolism) สูงเกิดเป็นพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิต และยังช่วยทำลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ไปใช้เป็นพลังงาน จึงไม่อ้วน 
2.4 โรคเบาหวาน : ผลพลอยได้ของการเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานจากการบริโภคน้ำมันมะพร้าวทำให้ร่างกายไม่สะสมน้ำตาลด้วย เพราะถูกใช้ไปเป็นพลังงานหมด อีกทั้งยังไม่ทำให้ผู้ป่วยอยากรับประทานอาหารที่เป็นแป้งหรือน้ำตาล จึงช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานไปได้โดยปริยาย 
2.5 โรคปวดเมื่อย โรคชราภาพก่อนวัย โรคมะเร็งผิวหนัง และโรคกระดูก : น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้ดี เพราะมีขนาดของโมเลกุลเล็กจึงนิยมใช้นวดตัวให้หายปวดเมื่อย และผ่อนคลายความเครียด อีกทั้งยังปกป้องการทำลายของแสงอัลตราไวโอเลตที่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย และเป็นมะเร็งผิวหนัง ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของกระดูกให้แข็งแรง แพทย์แผนไทยจึงนิยมนำน้ำมันมะพร้าว มาประกอบเป็นสูตรยาแผนโบราณในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระดูก อันเนื่องมาจากการประสบอุบัติเหตุ 
3. ช่วยให้ร่างกายปลอดจากโรคติดเชื้อ
กรดลอริกในน้ำมันมะพร้าว มีภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกับสาร cholostum ในน้ำนมมารดา  ซึ่งเมื่อเข้าไปในร่างกายก็เปลี่ยนไปเป็นสารโมโนลอริน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารปฏิชีวนะ ปัจจุบันวงการแพทย์สมัยใหม่ได้แนะนำให้ประชาชนกินยาเม็ดที่มีโมโนลอรินเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค 
4. การรักษาโรค
ตำราอายุรเวทของอินเดียใช้น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคมาไม่ต่ำกว่า 4,000 ปี แพทย์แผนไทยใช้น้ำมันมะพร้าวรักษาโรคทั้งภายในและภายนอก เช่น ในตำราพระโอสถพระนารายณ์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยานวดแก้ปวดเมื่อย
เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่ามะพร้าวบ้านเรามีคุณค่ามหาศาล
วิธีใช้
1.        รับประทาน  ครั้งละ 1 ชต. (3 ครั้งต่อวัน) /  ก่อนอาหาร 15 นาที ( หรือ..เช้าตอนท้องว่าง ) ตามด้วยน้ำอุ่น 1-2 แก้ว
2.        ผสมน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 3-4 หยดใ นเครื่องดื่ม เช่น  ชา กาแฟ โกโก้ นม ฯลฯ
3.        ใช้ปรุงอาหาร เติมในอาหาร หรือใช้ในการผัด ทอด แทนน้ำมันพืชชนิดไขมันไม่อิ่มตัว
  ** ข้อห้าม - ไม่ควรกินก่อนนอน / และไม่ควรกินหลัง 18.00 น. **
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                ** ข้อห้าม **  1)  ห้ามกินก่อนนอน

                                        2)  มื้อเย็น / ห้ามกินหลังเวลา  18.00 น. --